ปวดหลัง

คนส่วนใหญ่ต่างก็เคยปวดบั้นเอวกันมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด เพราะส่วนมากจะเป็นอยู่ไม่นานนัก อาการปวดหลังในทุกยุคทุกสมัยมาจนปัจจุบัน พบว่าผู้ป่วยปวดหลังจำนวนมาก เกิดจากท่าทางที่เราทำให้แนวกระดูกหลังไม่อยู่ในแนวตรง เช่นคุณนั่งเอียงไปด้านใดกระดูกก็จะโดนกดทับอยู่ด้านเดียว เส้นเอ็นที่ยืดกระดูกไว้อีกด้าน ก็ตึงกล้ามเนื้อก็เกร็ง และเมื่อเเป็นอย่างนี้บ่อยเข้าก็เกิดการอักเสบและแสดงอาการปวดขึ้นมาที่หลัง ไปตรวจก็ไม่เจอจนกว่าอาการจะเข้าขั้นรุนแรง วิธีการที่จะลดการปวดหลังที่ง่ายที่สุดคือทำตัวให้ตรง ทำได้หรือเปล่า คนเราทำได้ไม่กี่นาทีก็ลืมไปนั่งท่าเดิม ถ้าคุณทำตัวให้ตรงได้ร่างกายก็กลับภาวะสมดุล ระบบเลือดก็ไหลวนได้ อาการปวดก็ลดลงได้เองโดยไม่ต้องกินยาให้มีผลกับไตและตับ

ปวดหลังต้องระวังอาจลุกลาม เป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง

บางท่านก็ปวดแป๊ปเดียวก็หาย บางท่านปวดเรื้อรัง ปวดแล้วปวดอีก ขยับไม่ได้เลย อาการปวดต้องระวัง การทำอะไรผิดท่าขึ้นมา อาจลุกลามไปเป็นมะเร็งได้ อาการปวดที่ค่อนข้างรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ คือปวดแล้วลงไปตามแขนตามขา ตอนนอนก็ปวด ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกหรือมีเชื้อช่วงอายุที่คนเรามักจะมีอาการช่วง อายุ30-40มักเป็นโรคหมอนรองกระดูกช่วงอายุ 70-80 เป็นกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเนื้องอก หรือติดเชื้อ หมอแนะนำอย่านั่งนาน ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นยืนหรือเดิน ที่สำคัญ การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างสมำ่เสมอ

สาเหตุของการปวดบั้นเอว

-ยกของไม่ถูกวิธี มารดาที่มักจะอุ้มลูกอยู่เสมอๆ มีโอกาสปวดบั้นเอว มากเป็นพิเศษ

-การทรงตัว ยืนหรือนั่ง ไม่ถูกหลักกายภาพ

-ตั้งครรภ์โดยเฉพาะใกล้คลอด

-นํ้าหนักตัวมากเกินไป ออกกำลังกายไม่สมําเสมอ

-การบาดเจ็บที่ทำให้กล้ามเนื้อ เอ็นและเส้นเอ็นต่างๆในร่างกายที่เกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลัง และการทรงตัวเกิดอาการตึงเครียด

-หมอนรองกระดูกเสื่อม ซึ่งอาจก่อให้เกิความเจ็บปวดที่ลุกลามไปถึงขาหรือเท้า (เรียกว่า สเคียติกา) ทำให้ขาอ่อนแอ หรือมีอาการชา หรือเกิปัญหาเกี่ยวกับถุงนํ้าดี

4 อาการปวดหลังที่บ่งบอกโรค

*ปวดหลังร่วมกับแขนขาชาไม่มีแรง -ไขสันหลังอาจได้รับบาดเจ็บ

*ปวดหลังบริเวณเอวและมีไข้หนาวสั่น- อาจเกิดจากการติดเชื้ออักเสบของโรคไต

*ปวดหลังเรื้อรังนานและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ-อาจบอกสัญญาณโรคถุงนํ้าในไต

*ปวดเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง-โรคไขข้ออักเสบหรือกระดูกสันหลังสึกกร่อน

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือเครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 999 อย่างใดอย่างหนึ่งครั้งละ 30-40 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากการที่กระดูกอ่อนซึ่งทำหน้าที่ปกป้องและเป็นตัวดูดซับแรงกระแทกในข้อเข่ามีการสึกหรอและเสื่อมสภาพลง หากกระดูอ่อนนี้เสียหายเป็นพื้นที่กว้าง กระดูกในข้อเข่าจะเสียดสีกันเอง ทำให้เกิดการอักเสบ และมีอาการปวด

สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม

1.พันธุกรรมและความผิดปกติแต่กำเนิดบางชนิดเช่น ขาหรือเข่าผิดรูป

2.อายุและเพศ โดยเมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของกระดูกอ่อน ก็ลดลง นอกจากนี้ ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไปจะมีแนวโน้มของการเกิดข้อเข่าเสื่อม มากกว่าผู้ชายที่อายุเท่ากัน

3.นํ้าหนักตัวมาก (BMIมากกว่า 23 กก./ม2.)

4.ประวัติการบาดเจ็บที่ข้อเข่า ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสเกิดข้อเข่าเสื่อมได้สูงโดยอาจเป็นผลจาก

-การบาดเจ็บ โดยถึงแม้ร่างกายจะมีการซ่อมแซมตัวเองหลังการบาดเจ็บโครงสร้างข้อเข่าก็อาจไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

-ได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง

-การใช้ข้อเข่าหักโหมซํ้าๆ หรือท่าทางบางอย่างที่ต้องงอเข่ามากเกินไป เช่น การคุกเข่า หรือการนั่งยองๆซึ่งทำให้เข่าต้องรับแรงกดสูงกว่าปกติเป็นเวลานานๆหรือบ่อยครั้ง

*โรคไขข้ออักเสบ เช่นรูมาตอยด์ เก๊าท์ ส่งผลให้กระดูกอ่อนถูกทำลายจนกระทั่งหมดไปทำให้เกิดการปวดและข้อติดแข็งตามมา

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานได้

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น ไม่หายแต่อาการจะทุเลาลง

โรคหอบหืด

โรคหอบหืด  เป็นโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากหลอดลมของผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้น มากกว่าภาวะปกติ ทำให้หลอดลมของผู้ป่วยหดเกร็งมีขนาดตีบแคบลง และมีอาการบวม เนื่องจากมีการอักเสบ รวมทั้งมีการสร้างเสมหะมากกว่าปกติ 

 อาการจับหืด คือมีอาการหอบไอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจขัด เสียงหายใจมีเสียงดังหวีด อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นๆหายๆและเรื้อรัง 

 อาการจับหืดมักเป็นในตอนกลางคืน หรือเมื่อมีการสัมผัสกับสิ่งที่แพ้หรือระคายเคือง

1.พันธุกรรม โรคหอบหืดไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรงเสมอไปแต่ในผู้ป่วยที่มีอาการหืดจับร่วมกับมีประวัติโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดในครอบครัว ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะเป็นโรคนี้

2.สิ่งกระตุ้นต่างๆ อาจเกิดสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นบ้าน ตัวไรฝุ่น ละอองซากแมลงสาบ เกสรดอกไม้ ละอองเชื้อรา ขนหรือสะเก็ดรังแคผิวหนังสัตว์เลี้ยง อาหารบางชนิด ควันบุหรี่ ควันพิษจากสิ่งแวดล้อม หรือการเป็นหวัด

3.การออกกำลังกายอย่างหักโหม

4.การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

ผลของโรคหอบหืดในเด็ก

 ในเด็กที่อาการไม่มาก จะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อชีวิตประจำวัน การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ อาจจะมีความจำเป็นเฉพาะเวลาที่มีอาการจับหืดเท่านั้น ส่วนในเด็กที่มีอาการของโรคหอบหืดที่มีอาการที่รุนแรงและเป็นบ่อยๆจะมีผลกระทบต่ออารมณ์จิตใจ การเรียน การดำรงชีวิตประจำวันมาก อาจต้องขาดเรียนล่อยๆ ทำให้กลัวเรียนไม่ทันเพื่อนๆ อาจถูกห้ามเล่นกีฬาหรืองดกิจกรรมบางอย่าง อาจทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc เช้า-เย็น

*ขมิ้นชันครั้งละ 3เม็ด เช้า-เย็น

ถ้าเป็นชนิดนํ้าครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละ ครึ่งขวด เช้า-เย็น

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

คำว่า ALS ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Selerosis กล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ใช่โรคของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง แล้วส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากขาดเซลล์ประสาทนำคำสั่งมาควบคุม ซึ่งเซลล์เหล่านี้มีอยู่ในไขสันหลังและสมอง โดยที่เซลล์ประสาท นำคำสั่งเหล่านี้ค่อยๆเกิดการเสื่อมและตายไปในที่สุด และเนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแลเอสเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม” ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะรู้จักชื่อนี้ในชื่อของโรคลู-เก-ริก ซึ่งตั้งตามชื่อนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคนี้ในปี คศ.1930

สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส 

 ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดเซลล์ประสาทนำคำสั่งจึงเกิดการเสื่อมโดยสมมุติฐาน เชื่อว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส เกิดจากหลายสาเหตุปัจจัยก่อให้เกิดโรคร่วมกันได้แก่ การมีปัจจัยบางอย่างทางพันธุกรรมซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัด ที่ทำให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งมีโอกาสเสื่อมได้ง่ายกว่าบุคคลอื่น มีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของสารพิษ เช่นยาฆ่าแมลง สารโลหะหนัก รังสีหรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิด มากระตุ้นส่งเสริมให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งเกิดการทำงานผิดปกติร่วมกับ อายุที่สูงขึ้นตามกาลเวลา ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของเซลล์ อันเนื่องมาจากแบตเตอรี่ที่คอยสร้างพลังงานให้กับเซลล์ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย(mitochindria)มีความผิดปกติ แต่สมมุติฐานเหล่านนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่ชัด

อาการและการกำเนินของโรคเอแอลเอส เป็นอย่างไร ?

 เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของมือ แขน ขา หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน เช่นยกแขนไม่ขึ้นเหนือศรีษะ กำมือถือของไม่ได้ ข้อมมือตกหรือข้อเท้าตก เดินแล้วหกล้มบ่อยหรือสะดุดบ่อย ขึ้นบันไดลำบาก ลุกนั่งลำบาก เป็นต้น อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะค่อยๆเป็นมากขึ้นจนลามไปทั้ง2 ข้างตั้งแต่ตั้น นอกจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแล้ว ยังพบว่ามีกล้ามเนื้อลีบร่วมกับกล้ามเนื้อเต้นร่วมด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจมาพบแพทย์ครั้งแรกด้วยมือลีบขาลีบ พูดไม่ชัด พูดเหมือนลิ้นแข็ง ลิ้นลีบ เวลากลืนนํ้าหรืออาหารจะสำลัก

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือ เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 999 อย่างใดก็ได้ครั้งละ 30 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละครี่งขวด เช้า-เย็น

โรคความดันโลหิตตํ่า

โรคความดันโลหิตตํ่าเกิดจากอะไร ?

ความดันเลือดตํ่ามีหลายสาเหตุคือ

1.เลือดน้อย หรือปริมาณนํ้าเลือดมีน้อยซึ่งอาจจะเกิดจากเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก กรดโฟลิค หรือจากการเสียเลือดปริมาณมากเช่น มีประจำเดือนมากเกินไป อาจจะเกิดจากดพราะการดื่มนํ้าน้อย เหงื่ออกมาก ท้องเสียหรืออาเจียนแล้วเสียนํ้ามาก บางครั้งการอดอาหาร ก็ทำให้ความดันเลือดตํ่าลงเนื่องจากการกินที่น้อยเกินไป รวมทั้งการใช้ยาขับปัสสาวะที่มากเกินไป สองกรณีนี้มักพบในสาวๆที่กำลังกินยาลดนํ้าหนัก

2.ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน มีฮอร์โมนในร่างกายหลายตัวที่เป็นสาเหตุ ทำให้ความดันเลือดลดตํ่าลงเพราะ เมื่อฮอร์โมนบางชนิดไม่อยู่ในสมดุล จะทำให้หลอดเลือดขายตัวกว่าเดิม ซึ่งทำให้ความดันเลือดลดลง จากปกติ เช่นกลุ่มฮอร์โมนเพศ ซึ่งทำให้ผู้หญิงในวัยทองบางครั้งก็เกิด อาการความดันเลือดตํ่า บางคนในระยะมีประจำเดือนความดันเลือดก็จะลดลง

3.ประสาทอัตโนมัติไม่อยู่ในสมดุล ระบบประสาทอัตโนมัติ คือซิมพาเตติกและพราราซิมพาเตติก จะเป็นตัวควบคุมความดันเลือด พาราซิมพาเตติกจะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ส่วนซิมพาเตติกจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและทำให้ความดันเลือดลดลง โดยทั่วไปทั้งสองส่วนของระบบประสาท จะอยู่ในสมดุล เราจึงมีอาการปกติ แต่เมื่อใดที่เราเกิดอาการเครียดจัด ไม่สบายเรื้อรัง ประสาทอัตโนมัตินี้ทำงานผิดเพี้ยนไป ก็จะทำให้ความดันเลือดตํ่าได้

4.เครียดจัด นอนไม่หลับ หรือมีอารมณ์แปรปรวน เหล่านี้ทำให้เกิดความดันตํ่าลงได้ทั้งสิ้น

5.เกิดจากผลข้างเคียงของยา มียาหลายตัวที่ทำให้ความดันเลือดลดลง โดยเฉพาะกลุ่มยาลดความดันเลือดสูง พอทานมากเกินไปก็จะทำให้เกิดความดันเลือดตํ่าลงมากเกินไปด้วย

6.โรคหัวใจ คนที่มีหัวใจโต คนที่เคยมีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คนที่เคนมีอาการหัวใจวาย ก็อาจมีความดันตํ่าได้ด้วย เพราะหัวใจไม่มีแรงบีบเลือดไปส่งเลี้ยงร่างกายได้เท่ากับคนปกติ ความดันเลือดจึงลดตํ่า

7.ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยาเคมี หัวใจและระบบไหลเวียนของเลือดจะอ่อน ระโหยโรยแรงไปหมด ก็จะมีความดันเลือดที่ตํ่ากว่าปกติ

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตตํ่า

1.ผู้สูงอายุจากการดื่มนํ้าน้อย และจากไม่คล่อยเคลื่อนไหวร่างกาย

2.ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่นโรคเบาหวานและหัวใจ

3.กินยาบางชนิดโดยเฉพาะ ยาขับนํ้า ยาโรคความดันโลหิตสูงและยาโรคเบาหวาน

4.มีภาวะขาดนํ้า จากสาเหตุต่างๆเช่นท้องเสีย หรืออาเจียน รุนแรงหรือภาวะลมแดด

อาการพบบ่อยของโรคความดันโลหิตตํ่า

1.วิงเวียน หน้ามืด เป็นลม

2.ตาลาย

3.คลื่นไส้ อาจอาเจียน

4.มือเท้าเย็น

5.เหงื่อออกมาก

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ30 cc เช้าเย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละ ครึ่งขวด เช้า-เย็น

โรคไขมันในเลือดสูง

โรคไขมันในเลือดสูง เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ อาจจะเป็นระดับคอเลลสเตอรอลสูง หรือระดับไตรกรีเซอร์ไรด์สูงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสูงทั้งสองชนิดก็ได้ ภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ไขมันในเลือดมีหลายชนิด แต่ที่สําคัญได้แก่

1.คอเลสเตอรอล ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองและอีกส่วนหนึ่งได้รับจากอาหารแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ

1.1คอเลสตอรอลชนิดอันตราย (แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล /LDL) ถ้ามีในระดับสูงเกินไป จะไปสะสมที่เยื่อบุด้านในของหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง ตีบ หรือ อุดตัน

1.2คอเลสเตอรอลชนิดดี(แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล /HDL) เป็นชนิดที่มีประโยชน์ ทำหน้าที่นำคอเลสเตอรอลที่เหลือไปทำลายที่ตับ ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลชนิดนี้สูงจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง

2.ไตรกลีเซอร์ไรด์ เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกาย สร้างขึ้นมาเองและได้รับอาหารทำให้หลอดเลือดอุดตันได้

สาเหตุของการเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง

1.ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

2.กินอาหารที่มีไขมันคอเลสเตอรอลสูง หรืออาหารที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย

3.โรคหรือการใช้ยาบางชนิด เช่นต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคไต ยาขับปัสสาวะ ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น

4.การดื่มสุราในปริมาณเป็นประจำ ทำให้ไตรกลีเซอร์ไรต์สูง

5.ขาดการออกกำลังกาย

อันตรายจากภาวะไขมันในเลือดสูง

 ระดับไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง ตีบ อุดตัน ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่นโรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขาตีบตัน ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น

ทำอย่างไรดีไขมันในเลือดสูง

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc  เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งขวด เช้า-เย็น

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

ทำความรู้จักโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นกันก่อน

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือการที่หมอนรองกระดูกสันหลังของเราปลิ้น โป่งออกมาจากแนวกระดูกสันหลังจนไปเบียดทับกับเส้นประสาทรอบๆแนวกระดูกสันหลัง หรือเยื่อหุ้ม หมอนรองกระดูกอาจฉีกขาดจนทำให้ของเหลวลักษณะคล้ายเจลที่อยู่ภายในไปกดทับเส้นประสาท

อาการของหมอนรองกระดูกทับเส้น

ที่มักเป็นกันบ่อยคืออาการกระดูกทับเส้นบริเวณคอ และอาการกระดูกทับเส้นบริเวณหลังส่วนล่าง สาเหตุของอาการเกิดจากการที่หมอนรองกระดูกปลิ้นหรือแตกจนของเหลวภายในไปเบียดทับเส้นประสาทบริเวณหลัง ส่วนล่างหรือบริเวณกระดูกสันหลังชิ้นที่ L3 L4 L5 S1 ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนเอวไปถึงขา เริ่มแรก ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอว เป็นๆหายๆ มาก่อน ซึ่งอาการดังกล่าวจะเป็นมากเวลาทำงาน เช่นยืน ก้มเงย หรือนั่งนานๆ และจะดีขึ้นเมื่อได้นอนพัก ต่อมาจึงปรากฎอาการสำคัญที่บ่งบอกว่าหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดโป่งขึ้นมากดทับเส้นประสาท คืออาการปวดหลังรุนแรงอย่างเฉียบพลัน และมีอาการปวดร้าวลงมาที่ขา น่อง ตาตุ่มหรือเท้าบวมหรือมีอาการชาขาหรือเท้าด้วย

โรคเก๊าท์ (GOUT)

“เก๊าท์” เป็นอาการผิดปกติของร่างกายอันเนื่องมาจากการกินชนิดอิ่มหมีพีมันเกินไป กินดีอยู่ดีเกินไป และไม่ค่อยออกกำลังกาย ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ชายในวัยประมาณ 40 ปี แต่ถ้าเกิดในผู้หญิงมักจะพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว

 เกิดจากกระบวนการใช้  และขับถ่ายสารพิวรีนของร่างกายผิดปกติไป พิวรีนเป็นธาตุอาหารที่พบได้ในเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี เครื่องในสัตว์(ตับ เซี่ยงจี้) เป็นต้น ซึ่งจะถูกย่อยจนกลายเป็นกรดยูริค และขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริคจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกมาได้หมดทันกับการสร้างขึ้นพอดี สำหรับบางรายการที่กรดยูริคถูกสร้างขึ้น แต่ไตทำหน้าที่ ขับถ่ายออกมาได้ช้า หรือเร็วก็ตามจะทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคมากขึ้นในร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในข้อกระดูกหรือรอบๆข้อกระดูก โรคนี้สามารถ่ายทอดกันได้ทางกรรมพันธุ์

โรคเก๊าท์ มีอาการสำคัญดังนี้

1.อาการปวด บวม แดง ร้อนตามข้อ อย่างเฉียบพลัน

2.อาจรุนแรงถึงกับเดินลงนํ้าหนักหรือใช้งานข้อไม่ได้

3.อาจเป็นๆหายๆ อาจทิ้งระยะ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ปี

4.อาการปวดอาจเป็นข้อเดียวหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้

5.ที่พบบ่อย ได้แก่ ข้อโคนนิ้ว หัวแม่เท้า หรือข้อเท้า

6.อาจมีอาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

ทานแล้วจะมีอาการปวดก่อน แล้วค่อยๆทุเลาลง และหาย

โรคนํ้าในหูไม่เท่ากัน

เวียนหัว ทรงตัวไม่อยู่ หนึ่งในสัญญาณอันตราย “นํ้าในหูไม่เท่ากัน” หรื่อที่เรียกว่า”Minere s Disease เป็นโรคที่เกิดขึ้นในระบบรับสัมผัสของหู ที่เกิดจาก ความผิดปกติภายในอวัยวะหู ที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางอารมณ์จากความเครียดเป็นสําคัญการเกิดภาวะเครียดทางอารมณ์ จะทําให้เกิดความผิดปกคิของอวัยวะที่เรียกว่า Cochlea ที่อยู่บริเวณหูชั้นใน ทําหน้าที่ในการรับเสียง โดยทำให้ปริมาณนํ้าเหลืองที่อยู่ภายในมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเกินปกติ ทำให้ระบบประสาทที่ทำหน้าที่รับเสียงในอวัยวะดังกล่าวเกิดการทำงานผิดปกติ โดยมีลักษณะหูอื้อ และหูแว่ว แต่เมื่อภาวะความเครียดลดลงปริมาณนํ้าเหลืองก็จะลดลงตามด้วยเช่นกัน ทำให้อาการดังกล่าวค่อยๆหายเป็นปกติ

อาการของโรคเบื้องต้น เมื่อเกิดภาวะความเครียดเกิดขึ้นถี่หรือบ่อยครั้งจะทําให้เกิดอาการเหล่านี้

1.รู้สึกปวดศรีษะอย่างกะทันหันซึ่งจะเกิดเพียงชั่วครู่ เมื่อเกิดภาวะความเครียดในช่วงแรกๆ

2.ตาพร่ามัวมองเห็นวัตถุไม่ชัดเจน

3.มีอาการหูอื้อ มึนงง ได้ยินเสียงคนรอบข้างไม่ชัดเจน

4.รู้สึกได้ยินเสียงวิ้งๆภายในหู ซึ่งจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อเกิดภาวะความเครียด อาการเหล่านี้จะหายเอง เมื่อภาวะความเครียดลดลง

5.อาการหูแว่ว ซึ่งมักได้ยินเสียงเบาๆข้างหูทำให้เกิดการสำคัญในเสียงเหล่านั้นที่ผิดๆได้ อาการเหล่านี้ที่กล่าวมาหากเกิดอาการขณะลุกหรือยืนอยู่ อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เป็นลมหรือหกล้มตามมาได้ จึงควรระมัดระวังในเรื่องการทรงตัวเมื่ออาการกำเริบ

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 999 ชนิดใดก็ได้ ครั้งละ 30 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ก่อนนอน ครึ่งขวด

*ยาหอมนํ้า ครั้งละ ครึ่งขวด เช้า-เย็น  ทานติดต่อกันทุกวันผลิตภัณฑ์จะช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองสมบูรณ์ขึ้น อาการมึนงง เวียนหัว บ้านหมุน ก็จะค่อยๆหายไป

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า เราช่วยได้ พบได้ในทุกช่วงระยะเวลาของชีวิต ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคิดฆ่าตัวตาย และครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ฆ่าตัวตายเป็นโรคซึมเศร้า

อาการของโรคซึมเศร้า

1.มีอารมณ์ซึมเศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่าย เก็บตัว โดยอารมณ์เศร้าอาจจะเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ

2.มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ที่พบบ่อยคือ อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดสมาธิ ผลการเรียนตก เกเร บางรายอาจจะใช้สารเสพติด หรือหนีจากบ้าน

3.มีอาการทางกาย โดยตรวจไม่พบพยาธิสภาพทางร่างกายเช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ไม่อยากกินอาหาร บางรายอาจมีอาการง่วงนอนตลอดเวลา

กลุ่มเสี่ยง

1.พันธุกรรม ถ้าพ่อ หรือแม่เป็นโรคซึมเศร้า ลูกหนึ่งในสี่มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า

2.มีปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ชีวิตวัยเด็กมีความไม่สบายใจเรื้อรัง เช่นความอบอุ่น ถูกทารุณ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถูกว่า ถูกดุบ่อยๆ การเจ็บป่วยเรื้อรัง และพ่อแม่หย่าร้าง

 ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พบว่า มีการลดลงของสารสื่อประสาท ประเภท “สารสุข”

โดยเฉพาะSerotonin ที่จุดเชื่อมปลายประสาทในส่วนสมองส่วนลิมบิก (Limbic) ทำให้ขาดสมดุล ของสารสื่อประสาท สารสื่อประสาททำงานผิดปกติไป เกิดพยาธิสภาพของโรคซึมเศร้า

9 อาการของโรคซึมเศร้า

1.มีอารมณ์เศร้า หม่นหมอง แทบทุกวันติดต่อกันไม่ตํ่ากว่า สองอาทิตย์

2.รู้สึกไม่มีความสุข หมดความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบทำ

3.เบื่ออาหาร นํ้าหนักลดลง หรือกินจุมากขึ้น

4.นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท

5.เชื่องช้าไม่ทะมัดทะแมง

6.รู้สึกตนเองไร้ค่า สิ้นหวัง

7.ชอบลืมไม่มีสมาธิ ความคิดช้ากว่าปกติ

8.คิดถึงความตายซํ้าๆ

9.อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือ เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 999 ชนิดใดก็ได้ ครั้งละ 30 cc. เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

อาการที่เป็นอยู่จะดีขึ้นเป็นอย่างมาก ถ้าจะให้ดีขึ้นต่อเนื่อง ควรทานติดต่อกัน 3-4 เดือน