โรคเส้นเลือดสมองตีบ

อัมพฤษ์อัมพาต เป็นอาการที่คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะเกรงกลัวมาก ซึ่งอาการดังกล่าวหมายถึง การที่แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง และมักจะไม่ค่อยหาย หรือหายแต่ไม่หายสนิท ใช้เวลาฟื้นฟู สมรรถภาพค่อนข้างนาน มีความพิการ หลงเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย สาเหตุของอาการดังกล่าวมีได้หลายอย่าง แต่ที่พบที่สุดคือประมาณ 80-90 % ก็คือโรคหลอดเลือดสมอง ที่เหลือก็เป็นสาเหตุอื่นๆเช่นเนื้องอกในสมอง ฝีในสมองเป็นต้น

เส้นเลือดสมองตีบหมายถึงอะไร?

เส้นเลือดสมองตีบเป็นโรคหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งประกอบไปด้วย 3 โรคหลักๆ ได้แก่ เส้นเลือดสมองตีบ แตกและอุดตัน โดยที่เส้นเลือดสมองตีบเป็นแบบที่พบได้มากที่สุด 80-85 % เส้นเลือดที่ตีบเกิดจากการหนาตัวของผนังหลอดเลือด รวมทั้งอาจมีเกล็ดเลือด หรือองค์ประกอบอื่นๆของเลือด มาสะสมตามผนังหลอดเลือด ซึ่งจะทำให้เลือดไหลผ่านได้น้อยลง ถ้าเป็นมาก ก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียง และเกิดความเสียหายต่อเซลล์สมองบริเวณนั้น

โรคเส้นเลือดสมองตีบมีอาการอย่างไรบ้าง?

 เนื่องจากสมองมีหลายส่วน แต่ละส่วนมีหน้าที่แตกต่างกันไป ดังนั้นอาการในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับบริเวณของสมองที่มีเส้นเลือดตีบ อาการที่พบได้แก่

1.แขนขาอ่อนแรง หรือชาซีกใดซีกหนึ่ง (บางกรณีอาจเป็นทั้ง 2 ซีก)

2.ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด หรือสำลัก

3.พูดไม่ได้ หรือฟังไม่รู้เรื่อง(มีปัญหาด้านความเข้าใจภาษา)

4.เวียนศรีษะ เดินเซ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

5.มองไม่เห็นซีกใดซีกหนึ่ง

โดยลักษณะที่สำคัญของอาการคือ เป็นค่อนข้างเร็ว กะทันหัน ภายในเวลเป็นนาที หรืออาจเป็นหลังตื่นนอน โดยที่ก่อนเข้านอนยังเป็นปกติอยู่

ใครมีโอกาสเป็นบ้าง?

อายุที่มากขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ปัจจัยเสี่ยงที่เราสามารถควบคุมได้ยังมีอีกหลายอย่าง ซึ่งถ้าเราคุมได้ดีก็จะสามารถลดโอกาสเกิดอัมพฤกษ์ ได้มากแม้จะไม่ 100 % ก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวได้แก่

-ความดันโลหิตสูง

*เบาหวาน

*ไขมันในเลือดสูง

*การสูบบุหรี่

*โรคหัวใจบางชนิด

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือ เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 999 ชนิดใดก็ได้ ครั้งละ30 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อยครั้งละ ครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละ ครึ่งขวด เช้า-เย็น 

โรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน (GRED) เป็นภาวะที่นํ้าย่อยจากกะเพราะอาหาร ไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการสําคัญ ได้แก่ อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก และมีนํ้ารสเปรี้ยว รสขม ไหลย้อนขึ้นมาทางปาก ภาวะกรดไหลย้อนนี้ ถ้าเป็นเรื้องรังอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลอดอาหาร ได้อก่หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกจากหลอดอาหาร และอาจทำให้ปลายหลอดอาหารตีบได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง อาจกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ในที่สุด

อาการของผู้ป่วยกรดไหลย้อนขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกการระคายเคืองโดยกรดเช่น

1.อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร

-กลืนลำบาก ติดๆขัดๆคล้ายมีก้อนอยู่ในลำคอหรือเจ็บเวลากลืนอาหาร

-เจ็บคอ มีเสมหะอยู่ในลำคอ โดยเฉพาะในตอนเช้าหรือระคายคอตลอดเวลา

-อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ บางครั้งอาจร้าวไปถึงที่ลำคอ

-เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหารหรือนํ้าย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอกหรือคอรู้สึกเหมือนมีรสขมของนํ้าดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก

2.อาการนอกระบบหลอดอาหาร

มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้ เป็นหวัดเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง หรือเสียงแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม ไอเรื้อรัง รู้สึกสําลักนํ้าลายหรือหายใจไม่ออกในเวลากลางคืน จนอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึก อาการหอบที่เคยเป็นอยู่(ถ้ามี) แย่ลงหรือไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยา เจ็บหน้าอก โรคปอดอักเสบเป็นๆหายๆ

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือ สตาร์ไลฟ์999 ชนิดใดก็ได้ ครั้งละ 30-40 cc. เช้า-เย็น

*ขมิ้นชันเม็ดครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละ ครึงขวด เช้า-เย็น

ให้ทานติดต่อกันทุกวัน 3-4 เดือน ก็จะหายขาด

ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ

ต่อมไทรอยด์คืออะไร?

 ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายมีรูปร่างคล้ายปีกผีเสื้ออยู่บริเวณหน้าหลอดลมใต้กล่องเสียงมีหน้าที่สร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของร่างกาย โดยมีผลต่อการเผาผลาญพลังงานในร่าวกาย

ต่อมไทรอยด์เป็นพิษคืออะไร?

 ภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมา มากกว่าปกติทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานมากเกินไปส่งผลให้เกิด อาการผิดปกติต่างๆและอาจพบอาการผิดปติทางตาร่วมด้วย โดยมีอาการตาแห้ง ระคายตา ตาแดงมองเห็นภาพซ้อน มีการบวมรอบหนังตา ตาโปน(เฉพาะในรายที่มีอาการทางตามากๆ) นอกจากนั้นผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผิดปกติทางผิวหนังโดยผิวหนังจะนูนบวม พบบ่อยบริเวณหน้าแข้ง สามารถพบได้ 2 เปอร์เซนต์ ของประชากรทั่วไป ผู้หญิงพบน้อยกว่าผู้ชาย

อาการของต่อมไทรอยด์เป็นพิษ

 ใจสั่น รู้สึกหัวใจเต้นเร็วและแรงหากมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ ดหนื่อยง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่นบริเวณแขน ต้นขา หิวบ่อย รับประทานอาหารมากขึ้น แต่กลับมีนํ้าหนักลดลง ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก เครียด กังวล หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ นอนไม่หลับ มือสั่น ต่อมไทรอยด์โต

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

ให้ทานติดต่อกันทุกวัน 3-4 เดือน ก็จะหายขาด

หัวใจขาดเลือดคืออะไร

หัวใจขาดเลือดคืออะไร?

 เมื่อหัวใจไม่ได้รับโลหิตที่มีออกซิเจนอย่างพอเพียงก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่เรียกว่าหัวใจขาดเลือด(Anging)ซึ่งมีสาเหตุจากการกระตุกในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวเป็นการเตือนว่าหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น อาการที่แสดงถึงโรคหัวใจขาดเลือดของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไปเช่น

-เจ็บ ปวด รู้สึกไม่สบาย

-แน่นท้อง

-เป็นตะคริว

-ชา

-หายใจลำบาก จุกเสียด

-แน่นหน้าอก

-ร้อน

-เหงื่อแตก

-วิงเวียนศรีษะ

 อาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในบริเวณหน้าอก  ไหล่ หลังส่วนบน แขน คอ ในลำคอ หรือกราม เป็นต้น และอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รู้สึกเครียด ขณะที่ใช้แรงมากในการทำกิจกรรมหรือหลังมื้ออาหารหนักๆ อย่าละเลยโรคหัวใจขาดเลือด การพักผ่อนและการรักษาด้วยยา เป็นวิธีที่ช่วยลดอาการหัวใจขาดเลือดอย่างได้ผล

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ30 cc. เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้าครั้งละครึ่งขวด เช้า -เย็น

เวลารับประทานใช้ผลิภัณฑ์ 3 อย่างนี้ ทานพร้อมๆกัน วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ทานเพียง 1 อาทิตย์ อาการเหล่านี้จะดีขึ้นมาก แต่ควรทานติดต่อกันหลายๆเดือน

โรคแพนิค (โรคประสาทหัวใจอ่อน)

ความกลัวหรือความตระหนกตกใจที่เกิดขึ้นอย่างทันที เหมือนจู่โจมเป็นลักษณะสำคัญของโรคทางจิตเวชโรคหนึ่ง คือโรคแพนิค ซึ่งมีอาการทางกายที่รุนแรงเกิดขึ้น รวดเร็วภายใน3-10 นาที เกิดขึ้นเป็นพักๆอาจนานถึงครึ่งชั่วโมงโดยเกิดขึ้นร่วมกับความหวาดกลัว อาการต่างๆที่พบได้มีดังนี้

 อาการที่เกิดขึ้นแบบจู่โจม(แพนิค) นี้มักเกิดขึ้นโดย ไม่เลือกเวลาและสถานที่ จึงยากที่จะทำนายได้ ทำให้บางรายเกิดความหวาดกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือ กิจกรรมนั้นๆที่เคยมีแพนิคเกิดขึ้น

อาการแพนิคสงบลง ผู้ป่วยมักตกอยู่ในสภาพหวาดหวั่น วิตกกังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นมาอีกเมื่อไร และที่ใดยิ่งมีความหวาดหวั่นและวิตกกังวลมากเท่าใดก็ดูเหมือนว่าจะเกิดอาการจู่โจมมากขึ้นเท่านั้น ผู้ป่วยได้ตกอยู่ในวงเวียนมีการเกิดอาการดังนี้

-ใจเต้นเร็ว ลั่นเหมือนตีกลอง 

-เจ็บบริเวณหน้าอก

-หายใจติดขัด หายใจไม่อิ่ม

-รู้สึกมึนงง โคลงเคลง เป็นลม

-รู้สึกชา หรือซ่าตามปลายเท้า

-ตัวร้อนวูบวาบ หรือตัวสั่น

-เหงื่อแตก

-อ่อนเพลีย

-คลื่นไส้หรือปั่นป่่วนในท้อง

-ความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน มีการรับรู้บิดเบือนไป

-ความกลัวอย่างท่วมท้น ร่วมกับรู้สึกสังหรณ์ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองและเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้กลัวว่าจะตาย

-ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนจะเป็นบ้าหรือแสดงบางอย่างที่น่าอายออกไป

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ทานครั้งละ 30-40 cc. เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้า ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

ผลิคภัณฑ์2 อย่างนี้ จะช่วยแก้โรคหัวใจที่อ่อนแรง ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น อาการที่เป็นอยู่จะหายไป

โรคถุงลมโป่งพอง

โรคถุงลมโป่งพอง ในกลุ่มโรค NCDs 

อาการของถุงลมโป่งพอง

-ไอเรื้อรัง

-หายใจมีเสียงดัง Wheezing

-หายใจไม่ทัน หอบเหนื่อย เป็นมากขึ้นเมื่อออกแรง ถ้าได้พักก็จะดีขึ้น

-ออ่นเพลีย ไม่มีแรง

สาเหตุ

-การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยชัดเจนว่าทำให้เกิดถุงลมโป่งพอง อย่างไรก็ตามพบว่าอีก 20 % ของคนที่เป็นถุงลมโป่งพองไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 CC เช้า-เย็น

*ขมิ้นชันเม็ดครั้งละ 3 เม็ด เช้า-เย็น

โรคโลหิตจาง

อาการของโรคโลหิตจาง 

-อาการอ่อนเพลีย เวียนศรีษะ

-อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน

-อาการทางสมอง เช่นรู้สึกเมื่อยล้า หลงลืมง่าย ขาดสมาธิในการทำงาน เรียนหนังสือไม่ดีเท่าที่ควร

-นอนไม่หลับ

-อาการหัวใจขาดเลือด มักพบในคนที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โลหิตจางทำให้อาการของหัวใจรุนแรงขึ้น

-อาการขาขาดเลือด พบในคนที่มีโรคหลอดเลือดของขา ทำให้ปวดขา เวลาเดินๆได้ไม่ไกล

-อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่นเบื่ออาหาร ท้องอืด

หากท่านพบว่ามีอาการเหล่านี้ ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะโลหิตจางเพิ่มขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัย และได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร หากไม่ใส่ใจ และปล่อยทิ้งไว้จนเป็นมาก อาจจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

โลหิตจาง หรือภาวะซีด หมายถึง การที่ปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลงหรือระดับความเข้มข้นของเลือดลดลง ปัญหาโลหิตจางในประเทศไทยที่พบบ่อยได้แก่

โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (lrondeciency)

พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุจากการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ เช่นไม่รับประทานอาหารโปรตีน ตับ เลือดหมู หรือมีการเสียเลือดทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังเช่น พยาธิปากขอ ภาวะเลือดออกเรื้อรังในทางเดินอาหารริดสีดวงทวาร หรือสูญเสียเลือดมากผิดปกติทางประจำเดือน ในการป้องกันโรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู นม ไข่ ผักใบเขียว และธัญพืช เช่นถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และทารกควรบํารุงอาหารเหล่านี้ให้มากหรือให้กินยาบำรุงโลหิตเสริม 

โรคเลือดจางธาลัสซีเมีย(Thalassemia) เป็นโรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติ จึงมีการแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้จะต้องมีความผิดปกติทางพันธุกรรมมาจากทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่(ซึ่งอาจไม่แสดงอาการ)ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวจะไม่เป็นโรค แต่จะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมนั้นแฝงอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูก หลานต่อไป ในบ้านเราพบว่า มีคนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือที่เรียกว่าพาหะของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการซีด เหลือง ในรายที่เป็นชนิดรุนแรงจะมีการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า การเจริญเติบโตช้า และมีตับ ม้าม โต ร่วมด้วย ชนิดของโรคแบ่งออกเป็นหลายชนิด มีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือ เครื่องดื่ม สตาร์ไลฟ์ 999 อย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งละ 30 -40 cc. เช้า-เย็น

 

โรคตับ

อาการของโรคตับ ภัยเงียบที่น่ากลัว

-เส้นเลือดฝอยขาย

-หน้าอกโตขึ้น

-ตัวเหลือง

-ต่อมนํ้าลายโต

-ขนตามที่ต่างๆลดลง

โรคตับ ส่วนมากจะไม่ทำให้เกิดอาการปวด เพราะว่าตับนั้นมีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดเฉพาะเปลือกหุ้มตับเท่านั้น การอักเสบภายในเนื้อในตับนั้นจึงมักไม่ได้ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด อาการที่แสดงออกมามักจะเกิดจากาากรที่ทำหน้าที่ตับลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือในรายที่เป็นมากอาจมีตัวเหลือง ตาเหลือง(ดีซ่าน)เลือดออกง่าย มีอาการสับสนไปเลยก็มี นอกจากนี้ในกรณีผู้ป่วยโรคตับที่เป็นเรื้อรังจนทำให้เกิดพังผืดในตับมากจนกลายเป็นตับแข็งนััน ผู้ป่วยอาจมีอาการจากภาวะความดันหลอดเลือดดํา ที่เข้าตับสูงที่เรียกกันว่าหลอดเลือดดำพอร์ทอลนั่นเอง โดยอาการทำให้เกิดมีนํ้าในช่องท้องหรือท้องมาน รวมไปถึงเกิดเส้นเลือดโป่งบริเวณหลอดเลือดดำในระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะบริเวณหลอดอาหาร  และกระเพาะอาหารหากเมื่อไหร่ที่ความดันหลอดเลือดสูงมากๆก็จะทำให้เส้นเลือดที่โป่งแตกออกเกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร มีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระมีสีดำแดงจากเลือดที่ออกในระบบทางเดินอาหาร โนคตับส่วนมากที่พบนั้นมักจะเป็นภัยเงียบนอกจากจะไม่ปวดท้องแล้วนั้นยัง ไม่ค่อยมีอาการให้เห็นหากไม่ได้ตรวจเลือด กว่าที่จะแสดงอาการก็จะเป็นมากแล้ว หรือตับแข็งไปแล้วนั่นเอง “อาการแสดงของผู้ป่วยตับแข็งในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องมานและมีเส้นเลือดฝอยขายเป็นสีแดงๆบริเวณฝ่ามือและหน้าอก”

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 999 ครั้งละ 30 CC. เช้า-เย็น

 

ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงคือ ภาวะความดันในหลอดเลือดแดงสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท ขึ้นไป โดยวัดขณนั่งพัก 5-10 นาทีไม่ได้สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์และได้ค่าสูงตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ในเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ แบ่งระดับความรุนแรงของความดันโลหิตได้ดังนี้ ความดันโลหิตสูงแบ่งเป็น 2 ชนิด

1.ความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนพบได้มากกว่าร้อยละ 90 ในคนที่อายุ 40 ปี ขึ้นไปโดยมีปัจจัยเสี่ยงดังนี้

-พันธุกรรม มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง

-โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง

-บริโภคอาหารรสเค็มหรือเกลือโซเดียมมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีพันธุกรรม

-ขาดการออกกำลังกาย

-มีความเครียดสูงและเรื้อรัง(มุ่งร้ายผู้อื่นหรือถูกกดดันด้วยเวลาจำกัด)

-ร่างกายมีความไวต่อการสะสมเกลือและโซเดียม

-ดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟมากเกินไป

2.ความดันสูงชนิดทุติยภูมิ ที่เกิดจากสาเหตุของโรค เช่นโรคไต โรคของต่อมไร้ท่อ นอนกรน และหยุดหายใจเฉียบพลัน จากยาบางชนิด การตั้งครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น แต่หลังการรักษาต้นเหตุความดันโลหิตสูงจะกลับเป็นปกติ ในผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงเฉพาะค่าบน เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ

โรคความดันโลหิตสูงมีอาการอย่างไร?

โรคความดันโลหิตสูงระยะแรกส่วนใหญ่ไม่มีอาการมีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการและพบได้บ่อย คือ ปวดมึนท้ยทอย ตึงที่ต้นคอ ปวดศรีษะ สำหรับผู้ที่มี ความดันสูงรุงแรงอาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มือเท้าชา ตามัว อัมพาตหรือเสียชีวิตเฉียบพลัน เป็นต้น

หลอดเลือดปกติโรคนี้ถ้าไม่ได้รักษาเป็นเวลานานๆร่วมกับมีภาวะไขมันสูง สูบบุหรี่ โรคเบาหวานที่ไม่ควบคุม นํ้าตาลในเลือดที่สูงจะเร่งทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมโดยมีคราบไขมันพอกที่ภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบ ก่อให้เกิดความเสียหายและทำให้เกิดอาการของภาวะแทรกซ้อนที่อวัยวะสำคัญได้แก่

1.หัวใจ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา หัววจวายหรือมีหลอดเลือดหัวใจตีบทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้หัวใจตายเฉียบพลันและมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง

2.สมองเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตกทำให้เป็นอัมพาตและถ้าเกิดในตำแหน่งสำคัญอาจเสียชีวิตรวดเร็ว ความดันที่สูงรุนแรงเฉียบพลันจะทำให้สมองบวม ปวดศรีษะ  และซึมลงจนไม่รู้สึกตัว

3.ไต จากมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเกิดภาวะไขาขาวรั่วออกทางปัสสาวะ ไตวายเรื้องรังหรือเฉียบพลัน จะทำให้ความดันยิ่งสูงมากขึ้น

4.ตา หลอดเลืดแดงในตาแตกและมีเลือดออกทำให้ประสาทตาเสื่อมและอาจตามัวลง

5.หลอดเลือดแดงใหญ่ เกิดการโป่งพองและฉีกขาดของผนังหลอดเลือดจะมีอาการเจ็บหน้าอก ถ้ารุนแรงอาจเสียชีวิต

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่ม สตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc .เช้า-เย็น

*ยาหอมนํ้าครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น

ทานคู่กับยาที่โรงพยาบาลจ่ายให้

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทย คือประมาณร้อยละ 2.5-6 เปอร์เซนต์ ของประชากรถ้าคิดจากคนไทย 60 ล้านคน ก็จะมีคนเป็นโรคเบาหวานประมาณ 3 ล้านคน โรคเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกที่ทำให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง นอกจากนั้นยังเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันได้ ในทุกส่วนของร่างกาย เช่นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตจากเส้นโลหิตสมองตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคเส้นเลือดไปเลี้ยงที่ปลายมือปลายเท้าอุดตันและยังเป็นสาเหตุของตาบอดจากทั้งเบาหวานขึ้นตา และต้อกระจกได้อีกด้วย

แล้วใครมีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน? 

ผู้ที่ควรตรวจระดับนำ้ตาลในเลือดว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ได้แก่

*อ้วน

*มีประว้ติโรคเบาหวานในครอบครัวสายตรง

*เคยคลอดบุตรตัวโตมากกว่า 4 กิโลกรัม

*ความดันโลหิตสูง

*ไขมันในเลือดชนิด HDL น้อยกว่า 35 มก./มล

*เคยมีประวัติของการตรวจความทนนำ้ตาลกลูโโคส แล้วผิดปกติแนะนำให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุเกิน 45 ปี ควรตรวจระดับนํ้าตาลในเลือดเพื่อหาความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานทุก 3 ปี

เรารักษาโรคเบาหวานไปเพื่ออะไร ?

จุดประสงค์ของการรักษาโรคเบาหวานคือ

1.แก้ไขภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันที่เกิดจากระดับนํ้าตาลในเลือดสูงมาก จนอาจหมดสติ

2.แก้ไขอาการของเบาหวานเช่นปัสสาสะบ่อย นํ้าหนักลด

3.ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวานโดยเฉพาะโรคหลอดเลือดตีบตัน เช่นอัมพาต โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคไตวาย แผลเรื้อรัง การอุดตันของหลอดเลือดแขนขา รวมทั้งเบาหวานขึ้นตา และต้อกระจกอีกด้วย การคุมเบาหวานที่ดีคือสามารถควบคุมระดับนํ้าตาลหลังงดอาหารได้น้อยกว่า 120 มก/ดล.

การรักษาเบาหวานทำอย่างไร ?

 การรักษาเบาหวานผู้ป่วยมีส่วนสำคัญในการรักษามากกว่าแพทย์ การดูแลตัวเองที่ถูกต้อง จะช่วยควบคุมระดับนำ้ตาลในเลือดได้ดี และไม่มีโรคแทรกซ้อน

-การควบคุมอาหาร เลือกทานอาหารที่มีความหวานตํ่า ปรับสัดส่วนอาหารให้เหมาะสมจะทำให้การดูดซึมกลูโคสช้าลง ทำให้ระดับนำ้ตาลในเลือดลดลงได้

-การให้ยารับประทาน การรับประทานยาจะช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้มีการใช้กลูโคสมากขึ้น ลดการสร้างกลูโคสใหม่ในร่างกาย และยับยั้งการดูดซึมกลูโคส ทำให้ระดับนำ้ตาลในเลือดลดลงได้

-การฉีดอินซูลิน เพื่อทดแทนอินซูลินที่ขาดหายไป อินซูลินจะพากลูโคสเข้าไปใช้ในเนื้อเยื่อร่างกาย ทำให้ระดับนํ้าตาลลดลงได้

-การออกกําลังกาย ทำให้ การมีให้มีการใช้พลังงาน ระดับนํ้าตาลลดลงได้ การเลือกใช้การรักษาใด ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของเบาหวาน

คุณหมอเส็งได้แนะนําผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 CC เช้า-เย็น

*ขมิ้นชันครั้งละ 3 เม็ด เช้า- เย็น

*ทานคู่กับยาที่โรงพยาบาลจ่ายให้