ปวดประจำเดือน เรื่องต้องระวังของผู้หญิง

คุณผู้หญิงทุกคน คงเคยประสบกับการปวดท้องประจำเดือน บ้างก็ทนได้บ้างก็ทนไม่ไหวต้องพึ่งยาบรรเทาปวด เพื่อไม่ให้อาการปวดท้องเข้ามาบั่นทอนการใช้ชีวิตในประจำวัน หลายคนคงเคยคิดถามอยู่ในใจว่าปวดท้องแบบที่เป็นอยู่นี่เป็นเรื่องปกติ หรือกำลังมีความผิดปกติใดเกิดขึ้นกับร่างกายกันแน่ ประจำเดือนคือเลือดออกจากโพรงมดลูกเป็นรอบๆห่างกันทุก 28 วัน บางคนก็มาเร็วหรือช้ากว่านั้น ผู้หญิงโดยเฉลี่ยจะเริ่มมีประจำเดือนประมาณอายุ 12-13 ปี โดยช่วง 1-2 ปีแรกที่เริ่มมีประจำเดือน จะมาไม่สมํ่าเสมอ จึงทำให้ไข่ตกไม่สมํ่าเสมอ 

ทำไมจึงมีอาการปวดประจำเดือน ?

โดยปกติแล้วการปวดประจำเดือนนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดกับเด็กผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือน โดยจากมีอาการปวดในช่วงแรกและจะปวดลดน้อยลง แต่ถ้าคุณผู้หญิงท่านใด ที่มีอาการปวดประจำเดือนมาก คือ เดิมปวดเล็กน้อยพอเวลาผ่านไปมีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆสามารถสงสัยเบื้องต้นได้ว่าอาจเกิดการผิดปกติ

 “หากคุณผู้หญิงท่านใดมีอาการปวดประจำเดือนมาก คือ เดิมปวดเล็กน้อยพอเวลาผ่านไปมีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆสามารถสงสัยเบื้องต้นว่าอาจเกิดอาการผิดปกติ”

โรคที่อาจเกิดเมื่อมีการปวดประจำเดือนที่ผิดปกติ

   เมื่อมีอาการปวดประจำเดือนมากหรือผิดปกติ อาจเป็นที่มาของการเกิดโรคต่างๆดังนี้

1.เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) สามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดย่อยคือ

1.1ช็อกโกแลตซีสต์ จะเกิดเฉพาะที่รังไข่ จึงเรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์

1.2จุดเลือดออกในอุ้งเชิงกราน ส่องกล้องเข้าไปดูในท้องว่ามีจุดเลือดออกหรือไม่ บางครั้งใช้การตรวจภายในช่วย เพื่อดูจุดที่เจ็บการใช้อัลตราซาวด์ไม่สามารถเห็นได้

1.3ชนิดที่อยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก มีอาการปวดท้องมาก เลือดออกกะปริบกะปรอยหรือออกมากผิดปกติ อาจต้องได้รับการผ่าตัดด่วน

2.เนื้องอกของกล้ามเนื้อมดลูก ก้อนเนื้องอกแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก เวลามีประจำเดือนมดลูกจะบีบตัว เพื่อขับเลือดออกมา

3.ปีกมดลูกอักเสบ เกิดจากการติดเชื้ออุ้งเชิงกรานอักเสบ มีอาการตกขาวบ่อยเป็นทั้งช่วงที่มีหรือไม่มีประจำเดือน ถ้ามีประจำเดือนอาการปวดท้องจะมากขึ้น

อย่างไรถึงจะเรียกว่าประจำเดือนมามาก ?

 คำว่ามามากในที่นี้หมายถึงจำนวน วัน เลือด อาจจะมามากกว่าเดิมซึ่งโดยปกติประจำเดือนของผู้หญิงจะมา 3-7 วันโดยเฉลี่ย โดยเฉลี่ยวันละ 80 CC อาจสังเกตได้ง่ายๆจากการใช้ผ้าอนามัย ถ้าปริมาณการใช้เฉลี่ย3-5 ผืนในช่วงวันที่มามากคือปกติ หรือสังเกตได้จากลักษณะของประจำเดือนมาเป็นก้อนเลือดหรือนํ้า ถ้าเป็นก้อนเลือดแสดงว่าเลือดออกเยอะประจำเดือนมามาก ซึ่งปริมาณที่เยอะอาจจะบ่งบอกได้ว่ามีโรคอยู่ 

 การมาแบบกะปริบกะปรอย คือการมีประจำเดือนที่อาจมากกว่า 1 ครั้ง/ เดือนมาครั้งละ 2-3 วัน และหยุดไป ผ่านไปก็มีอีก การที่ประจำเดือนมาแบบกระปริบกระปรอยนั้น ยังต้องตรวจจำแนกอีกว่าเป็นการตั้งครรภ์หรือโรคทางนรีเวช หากไม่ใช่การตั้งครรภ์ อาการส่วนใหญ่จะเกิดจากฮอร์โมนที่สร้งจากรังไข่ผิดปกติ มีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก สามารถตรวจหาอาการผิดปกติ ได้ด้วยอัลตราซาวด์ ส่องกล้องดูโพรงมดลูก

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานได้คือ

*ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอ็กซ์1(1X) หรือเอ็กซ์ 2(X2) สูตรใดก็ได้ ครั้งละ 30-20 ซีซี เช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น ควรทานติดต่อกัน 10-15 วัน อาการปวดมดลูกจะน้อยลงหรือดีขึ้น ทานติดต่อกันเรื่อยๆอาการจะหายไป

สตรีที่มีอาการปวดมดลูก คันช่องคลอดให้ทาน

*ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอ็กซ์ 1(X1) หรือเอ็กซ์ 2(X2) สูตรใดก็ได้ ครั้งละ 30-40 cc และ

*ขมิ้นชัน 3 เม็ดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

โรคหัวใจ

6 อาการเสี่ยงโรคหัวใจ 

1.หัวใจหยุดเต้นกะทันหันมักเกิดกับคนที่ไม่มีอาการโรคหัวใจมาก่อน เป็นอันตรายถึงชีวิต

2.ภาวะหัวใจล้มเหลว รู้สึกเหนื่อยและเวลาหายใจอึดอัดตรงหน้าอกอย่างรุนแรง อันตรายถึงชีวิต

3.เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก หายใจอึดอัดเวลาที่ใช้แรงมากๆ

4.เหนื่อยเวลาออกกำลังกายมากกว่าปกติ แม้จะออกกำลังเพียงเล็กน้อย

5.ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นเร็วกว่าปกติ เหนื่อยง่ายและหายใจไม่ทัน

6.เป็นลมหมดสติบ่อยๆเพราะหัวใจส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ

องค์การอนามัยโลกแจ้งว่า โรคหัวใจคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีละ 12,000,000 คนต่อปี และจากสถิติยังแสดงว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประชากที่เป็นผู้ใหญ่ หัวใจเป็นอวัยวะที่เป็นกล้ามเนื้อ ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องจักรที่เราเห็นกันอยู่ทัวไป มันก็คงทำงานเหมือนเครื่องปั๊มนำ้ โดยมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย หัวใจคนเรามี 4 ห้อง มีห้องซ้าย-ขวา โดยผนังกล้ามเนื้อหัวใจและ บน-ล่าง โดยลิ้นหัวใจมันมีหน้าที่ในการฟอกโลหิต ซีกขวาของหัวใจประกอบด้วย หลอดเลือดที่จะสูบฉีดเลือดไปยังปอด เพื่อฟอกเลือดเสียให้ได้รับออกซิเจน หลังจากที่เลือดได้รับการฟอกแล้ว มันจะส่งกลับมายังหัวใจซีกซ้าย เพือ่สูบฉีดไปยังอวัยวะต่างๆต่อไป

อาการผิดปกติเบื้องต้นของหัวใจและร่างกาย ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่ามีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สามรถแบ่งได้หลายชนิดดังนี้ 1.มีอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย หรือต้องใช้แรง นั่นก็เป็นเพราะว่าหัวใจทำหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ทำงานหนักกว่าปกติ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

2.เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะรู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณหน้าอกคล้ายๆมีของหนักทับอยู่ โดยมากอาการนี้จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก

3.มีอาการหอบจนตัวโยน หากไม่รีบพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการเหล่านี้ อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้

4.ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติหัวใจของเราจะเต้นสมำเสมอประมาณ60-100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับไปถึง150- 250 ครั้ง/นาที

5.เป็นลมหมดสติอยู่บ่อยๆ เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สมําเสมอ เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอจนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้

6.หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรงและมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของโรคหัวใจมาก่อนล่วงหน้าเลย

7.ขาบวมหรือเท้าบวมไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋ม ตามนิ้วที่กดลงไป

8.ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคลำ้ แสดงให้เห็นว่าทางเดินของเลือดในหัวใจ ห้องขวากับห้องซ้าย มีการเชื่อมต่อกันอย่างผิดปกติส่งผลให้เกิดการผสมปนเปของเลือดแดงกับเลือดดำ

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคหัวใจส่วนมากเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดเมื่อหลอดเลือดอุดตัน มันก็ไม่สามารถที่จะสูบฉีดเลือด เพื่อส่งสารอาหารไปยังส่วนอื่นๆของร่างกาย ได้อย่างสมบูรณ์และเมื่อกาลเวลาผ่านไป การอุดตันของเส้นเลือดก็ยิ่งจะเริ่มมีมากขึ้น และนานวันเข้าหลอดเลือดต่างๆของหัวใจก็จะเริ่มหนาและแข็งขึ้นจนเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ

คุณหมอเส็งได้แนะนำอาหารเสริมที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือ สตาร์ไลฟ์ 999 ทานเช้า 30 CC เย็น30 CC0

*ยาหอมนำ้ ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น แนะนำให้รับประทาน ผลิตภัณฑ์ติดต่อกัน 1 อาทิตย์ อาการของโรคหัวใจจะดีขึ้นมาก ถ้าจะให้หายขาดควรรับประทานติดต่อกัน 3-4 เดือน

สะเก็ดเงิน (Psoriasis)

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรครักษาหายยากโรคหนึ่ง มีอาการคันตามผิวหนัง ตอนเริ่มกำเริบใหม่ๆจะเป็นตุ่มแดงขอบเขตชัดเจนและมีขุยสีขาว (สีเงิน) อยู่ที่ผิว ต่อมาตุ่มจะค่อยขยายออกจนกลายเป็นปื้นใหญ่และหนาตัวขึ้นเป็นสะเก็ดสีเงิน(ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านเลยเรียกว่า โรคสะเก็ดเงิน)ซึ่งสะเก็ดนี้จะร่วงเวลาถอดเสื้อเดินไปไหนมาไหน หรือร่วงอยู่ตามเก้าอี้ ที่นอน ถ้าขูดเอาสะเก็ดเงินออกจะมีรอยเลือดซิบๆ รอยโรคของผู้ป่วยจะเป็นลักษณะปื้นหนา ซึ่งเป็นเรื้อรัง ขึ้นๆยุบๆอยู่ตลอดเวลา ไม่หายขาด ซึ่งอาจเกิดได้ที่ผิวหนังของทุกส่วนแต่มักพบที่หนังศรีษะ และ ผิวหนัง ส่วนที่เป็นปุ่มนูนของกระดูกเช่น ข้อศอก ข้อเข่า ก้นกบ หน้าแข้ง เป็นต้น โรคนี้ยังชอบขึ้นที่เล็บทำให้เกิดอาการได้หลายลักษณะเช่น เล็บเป็นหลุม ตัวเล็บขุรขระ เล็บแยกตัวออกจากผิวหนัง(Onycholysis) ผิวใต้เล็บหนา (Subungual  keratosis)มักเกิดร่วมกับข้ออักเสบและเนื้อเยื่อขอบเล็บอักเสบ(Paronychia) บางครั้งอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราร่วมด้วย และผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบร่วมด้วยมักมีอาการทางผิวหนังรุนแรงกว่า

สาเหตุของโรค อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรมมักพบมีอาการกำเริบเวลามีภาวะเครียดทางกาย และจิตใจที่มากเกินไป การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ การขูดข่วนผิวหนัง การแพ้แดด การแพ้ยา โบราณถือว่าสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากกล้ามเนื้อเป็นพิษ หรือเลือดเป็นพิษ ยาโบราณจึง แก้ที่ต้นเหตุด้วยการไปทำให้ลดพิษในร่างกายลง

คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขมิ้นชันเม็ด เช้า 3 เม็ด เย็น 3 เม็ด

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า-เย็น ควรทานติดต่อกัน 4-6 เดือน ถ้าผู้ป่วยเป็นมานาน ต้องใช้เวลา 6-8 เดือน จึงจะหายขาด

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)

หากคุณรู้สึกว่าตนเองเป็นคนขี้หลงขี้ลืมหรือไม่อยากพบปะผู้คน นั่นหมายความว่าคุณกำลังเข้าข่ายเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์แบบไม่รู้ตัว และต่อไปนี้คือ 5  สัญญาณเตือนภัยที่ต้องระวัง

1.บุคลิกภาพเปลี่ยนไป พูดจาไม่รักษานำ้ใจ ทำให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัด

2.ทำกิจกรรมที่เป็นลำดับขั้นตอนไม่ถูกต้อง จากกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำกลับทำได้ยากขึ้นและเริ่มจำไม่ได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง

3.สายตาฝ้าฟางการมองเห็นลดลงเริ่มมีปัญหาในการกะระยะต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุจนเป็นอันตรายร้ายแรงได้

4.มีปัญหาในการสื่อสาร พูดเรื่องเดิมๆหรือถามคำถามซำ้ๆ พูดผิดๆถูกๆ จำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไปแล้วบ้าง

5.ไม่อยากพบปะผู้คน ต้องใช้ความพยายามที่จะควบคุมตัวเองให้เป็นปกติเมื่ออยู่ในสังคม

คุณหมอเส็ง ได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือสตาร์ไลฟ์ 999 ชนิดใดก็ได้ ทานครั้งละ 30 CC  วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น

*ยาหอมนำ้ ครั้งละครึงขวด เช้า -เย็น 

*ผลิตภัณฑ์ชุดนี้ทานติดต่อกัน 7-10 วัน อาการจะค่อยๆดีขึ้น ถ้าทานติดต่อกัน 6-8 เดือน อาการอัลไซเมอร์จะหายไป

ภูมิแพ้ รู้ไว้ไม่แพ้

โรคภูมิแพ้คืออะไร โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฎิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฎิกิริยานี้ เกิดขึ้นในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฎิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหารขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฎิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า “สารก่อภูมิแพ” โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคได้แก่

1.โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ

2.โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้

3.โรคหอบหืด

4.โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

โรคภูมิแพ้ สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือถ่ายทอดจากพ่อแม่มาสู่ลูก เหมือนภาวะอื่นๆ เช่นหัวล้าน ความสูง สีของตา เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นโรคภูมิแพ้ คุณจะไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้ โดยปกติ ถ้าพ่อแม่ คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ ประมาณ 25 % แต่ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกที่เกิดออกมามีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงถุง 66 % โดยเฉพาะ โรคโพรงจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ จะมีอัตราการถ่ายทอดททางพันธุกรรมสูงที่สุด ถ้าคุณได้รับการถ่ายทอดโรคภูมิแพ้ทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่คุณ แต่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ คุณก็จะไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้ คุณจะต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฎิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกายของคุณ การได้รับสารก่อภูมิแพ้ จะต้องได้รับปริมาณมากพอ และนานพอ ที่ะกระตุ้นให้ร่างกายของคุณเกิดปฎิกิริยาดังกล่าว จึงทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้น อาการภูมิแพ้ของคุณจะเป็นมากขึ้น เมื่อภูมิต้านทานลดตำ่ลง เช่นในขณะที่คุณเข้าสู่วัยรุ่นการติดเชื้อบริเวณต่างๆ การตั้งครรภ์ เป็นต้น อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับว่า ภูมิแพ้นั้นเกิดขึ้นที่ระบบใด สำหรับผู้ใหญ่สามารถที่จะให้ประวัติ และบอกอาการได้ ก็จะช่วยในการวินิจฉัยอาการของโรคภูมิแพ้ที่พบจะมีดังนี้

1.ผื่นที่ผิวหนัง เช่นผื่นแพ้ ลมพิษ คันตามผิวหนัง

2.คัดจมูก นำ้มูกไหล จาม

3.ไอแน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด โรคหอบหืด

4.เคืองตาและตาแดง เคืองจมูก

5.บวมรอบปาก อาเจียนและถ่ายเหลว

6.แสบคอ นำมูกไหลลงคอ หูอื้อ

คุณหมอเส็งได้แนะนำเสริมอาหารที่ทานได้คือ

*ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสตาร์ไลฟ์ 111 ทาน 30 CC เช้า-

เย็น

*ขมิ้นชันเม็ด ทานเช้า-เย็น

*ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด เช้า -เย็น ช่วยลดพิษในเลือดได้เเ

 

โรคแผลในกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหาร คือ ภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะ หรือลำไส้ถูกทำลาย ถึงแม้จะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้วที่กระเพาะ หรือลำไส้ ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อยุกระเพาะเรียก gastric แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึก muscularis mucosa เรียก ulcer ถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก gastric  ulcer  ถ้าแผลอยู่ที่ลำไส้เรียก duodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย

*สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินปกติ เกิดขึ้นจากการกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง

1.การกระตุ้นของปลายประสาทเกิดจากความเครียดวิตกกังวล และอารมณ์ การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง 2.ชา กาแฟ และนำ้ดื่ม ที่มีคาเฟอีนทำให้กรดหลั่งออกมามาก

3.การสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก ภาวะที่กรดหลั่งออกมามาก เช่นโรค Zollinger-Ellisson syndrome กรดที่หลั่งออกมามาก จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

การทำลายเยื่อบุกระเพาะเกิดจาก

1.การกินยาแก้ปวด ลดไข้ ยาแก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพรินและยาสารสเตีรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ เช่นยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้ว่าการให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ นอกจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิด cyclooxigenase ll(Cox ll) ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหาร

2.การทานอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากนำ้ส้มสายชู

3.การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง

4.การทานอาหารไม่ตรงเวลา

อาการของโรคกระเพาะอาหาร

ส่วนใหญ่มีอาการปวดท้องบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ (เหนือสะดือ)บางรายมีอาการ จุก เสียด แน่น หรือเจ็บแสบหรือร้อน อาการจะสัมพันธ์กับการกินหรือชนิดของอาหาร เช่นอาจจะปวดมากตอนหิว หลังอาหารอาการจะทุเลา แต่ผู้ป่วยบางคนอาการปวดเป็นมากขึ้นหลังอาหาร โดยเฉพาะเมื่อทาน อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น บางรายอาจมีอาการปวดท้องตอนกลางคืน

คุณหมอเส็งได้แนะนำเสริมอาหารที่ทานได้คือ

*สตาร์ไลฟ์ 111 หรือสตารฺไลฟ์ 999 ทาน 30 CC (เช้า-เย็น)

*ขมิ้นชันเม็ดครั้งละ 2 เม็ด (ช้า-เย็น)

*ยาธาตุนำ้ ครั้งละ 40 CC. (เช้า-เย็น)

ผลิตภัณฑ์ 3 อย่างนี้ จะทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ทานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ อาการที่เป็นอยู่จะเบาให้ทานจนกว่าจะหายขาด  Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

โรคไมเกรน (MIRGRAINE)

คำจำกัดความของโรคไมเกรน    

โรคไมเกรนเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศรีษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศรีษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่บางครั้งอาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งแต่แรกลักษณะอาการมักจะปวดตุ๊บๆเป็นระยะๆแต่มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อๆส่วนมากจะปวดรุนแรงมากถึงปานกลาง โดยจะค่อยๆปวดมากขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อยๆบรรเทาอาการปวดลงจนหาย ขณะที่ปวดศรีษะจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที เช่น สายตาพร่ามัว หรือ มองเห็นแสงกระพริบๆ อาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอน เช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้

อาการปวดศรีษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศรีษะธรรมดาตรงที่ว่าอาการปวดศรีษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศรีษะ ส่วนใหญ่มักจะปวดตื้อๆที่ไม่รุนแรงนัก และจะไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่นคลื่นไส้ อาเจียน ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่

Q:ส่วนใหญ่พบผู้ป่วยกลุ่มใด วัยใด เพศใด มากที่สุด 

A: โรคไมเกรนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ุผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง แต่บางทีก็เกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรน ปัจจุบันสาเหตุของโรคไมเกรนยังไม่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดก็ได้ จากหลักฐานทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบตัวผู้เป็น

คุณหมอเส็งได้แนะนำเสริมอาหารที่ทานได้คือ

*เครื่องดื่มสตาร์ไลฟ์ 111 หรือสตาร์ไลฟ์ 999 ชนิดใดก็ได้ ทาน 30 CC (เช้า-เย็น)

*ยาหอมนำ้ ทานครั้งละครึ่งขวด (เช้า-เย็น)

*ยาบรรเทาปวดเมื่อย ครั้งละครึ่งขวด (เช้า-เย็น)ให้นำผลิตภัณฑ์ 3 อย่าง รับประทานพร้อมกัน 2 ครั้ง เช้า-เย็น *รับประทานติดต่อกัน7-10 วัน อาการปวดจะดีขึ้นมาก หรือหายไปเลย ถ้าจะให้หายขาด ควรรับประทานติดต่อกัน 3 เดือน *Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.